สมุนไพรจีนนั้นมีมาช้านานมากแล้วในเมืองไทยและวันนี้เราจึงของนำความรู้ในเรื่องประโยชน์ของสมุนไพรจีนและสรรพคุณสมุนไพรจีนรวม
ถึงโทษของสมุนไพรจีนหากว่าบริโภคมากเกินไป
ใครที่ชอบรับประทานสมุนไพรจีนจึงต้องควรศึกษาถึง สรรพคุณสมุนไพรจีน
กันสักหน่อยเพื่อให้ได้ประโยชน์ของ สรรพคุณสมุนไพรจีน
กันอย่างครบถ้วนและบำรุงร่างกายได้อย่างสูงสุด
แต่ในเรื่องของโทษในสมุนไพรจีนนั้นก็จะมีข้อควรระวังกันสักเล็กน้อย
ฉะนั้นแล้วเราก็มาดู ประโยชน์ของสสมุนไพรจีน สรรพคุณสมุนไพรจีน
ประโยชน์ / สรรพคุณสมุนไพรจีน / โทษของสมุนไพรจีน
1. เห็ดหลินจือ
ในปี 2003 การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Ethnopharmacology
ยืนยันว่าเห็ดหลินจือโดดเด่นในสรรพคุณของสารต้านอนุมูลอิสระ
ผู้ป่วยเอดส์และมะเร็งบางรายจึงใช้เห็ดหลินจือในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันเร่ง
การผลิตเม็ดเลือดขาว บรรเทาอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบในผู้ชาย
และอาจช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตหรือแพร่กระจายของเนื้องอกในร่างกาย
อย่างไรก็ดีเห็ดหลินจืดมีผลข้างเคียงที่ต้องระวัง เช่น อาจทำให้คลื่นเหียน
คัน และหากกินมากเกินไปอาจกระตุ้นอาการบ้านหมุนก็ได้
2. เก๋ากี้
มีชื่ออินเตอร์ว่า "โกจิเบอร์รี่"
(แต่คนไทยอาจจะคุ้นเคยกับชื่อภาษาจีนมากกว่า) เห็นเล็ก ๆ อย่างนี้
แต่ก็เต็มไปด้วยสารอาหารมากมายไม่ว่าจะเป็นคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน
ใยอาหาร แคลเซียม โพแทสเซียม ธาตุเหล็ก สังกะสี ซีลีเนียม วิตามินบี 2
วิตามิน และยังมีกรดไขมันโอเมก้า-3 อีกด้วย
แม้โดยรวมจะไม่มีการพิสูจน์ทางคลินิกแต่ก็เชื่อกันว่าเก๋ากี้มีสรรพคุณเป็น
ยาอายุวัฒนะชั้นเลิศ
3. เกาลัดจีน
เกาลัดต่างจากถั่วหรือเมล็ดพืชอื่น ๆ ตรงที่มันมีไขมันน้อยมาก
แต่กลับเป็นถั่วชนิดเดียวที่มีวิตามินซีเทียบเท่ากับมะนาว
แน่นอนว่ามันเป็นพืชจึงไม่มีคอเลสเตอรอล เกาลัดจีนมีสารอาหารคล้ายข้าวกล้อง
จึงมีคำกล่าวว่ามันคือ "ธัญพืชที่เกิดบนต้นไม้" ด้วยความที่มันมีกรดโฟลิก
วิตามินซี และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน
มันจึงเป็นหนึ่งในอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกายได้ดีที่สุด
นอกจากนี้ชาวจีนโบราณยังเชื่อว่าเกาลัดจะช่วยให้ลมหายใจหวานสดชื่นอีกด้วย
4. เก๊กฮวย
ชาเก๊กฮวยถูกใช้เป็นยาพื้นบ้านมานานในฐานะยาลดไข้โดยมีสารอาหารทั้งวิตามิน
เอ วิตามินบี1 กรดอะมิโน ฟลาวานอยด์ เชื่อกันว่ามันจะช่วยลดความดันโลหิตสูง
ลดคอเลสเตอรอล "เลว" และบรรเทาอาการเจ็บหน้าอก
นอกจากนี้การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Ethnopharmacology
ก็ยังเปิดเผยว่ามันมีสรรพคุณช่วยปกป้องระบบประสาทจากความแก่ชราหรืออาการบาด
เจ็บต่าง ๆ ดังนั้น เป็นหนุ่มสาวก็ดื่มได้ประโยชน์ดีเช่นกัน
Tip :
เปลี่ยนจากชาฝรั่งมาดื่มชาเก๊กฮวยกันบ้าง
โดยนำดอกเก๊กฮวยแห้งแช่ในน้ำร้อนประมาณ 5 นาที
ก็จะได้ชาเก๊กฮวยสีเหลืองที่หอมกลิ่นดอกไม้
5. แปะก๊วย
เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหับสุภาพสตรีที่กำลังเข้าสู่วัยทอง
เนื่องจากมันมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อไฟโตเอสโตรเจนซึ่งอาจช่วยทำหน้าที่
แทนฮอร์โมนที่ไม่สมดุลได้
นักวิจัยจึงเชื่อว่ามันมีสรรพคุณบรรเทาอาการของวัยของหลายอย่าง ได้แก่
โรคกระดูกพรุน โรคนอนไม่หลับ อัลไซเมอร์ และโรคเกี่ยวกับระบบไหลเวียนโลหิต
อีกมากมาย อย่างไรก็ตาม การกินแปะก๊วยก็อาจให้ผลข้างเคียง อย่างเช่น
ท้องร่วง ปวดศีรษะ กล้ามเนื้ออ่อนแรง คลื่นไส้อาเจียน
เลือดไหลหรือผิวช้ำผิดปกติ หากมีอาการดังกล่าวก็ให้รีบไปพบแพทย์เสีย
6. เห็ดหอม
อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก วิตามินซี โปรตีน และใยอาหาร
เห็ดหอมอยู่ในตำรับยาจีนมานานกว่า 6 พ้นปี
โดยเชื่อว่ามันสามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันได้เพราะมีสารชนิดหนึ่งชื่อว่า
Letinan คอยต่อสู้กับเชื้อไวรัสต่าง ๆ มันอัดแน่นไปด้วย L-Ergothioneine
สารต้านอนุมูลอิสระ และดีต่อหัวใจ
เนื่องจากมันช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลโดยรวมได้
อย่างไรก็ตามเนื่องจากในเห็ดหอมมีสาร Purines
หากกินมากเกินไปแล้วอาจทำให้มีการสะสมกรดยูริกจนเสี่ยงต่อโรคเกาต์และนิ่วใน
ไตอย่างมาก คนที่มีปัญหาไตหรือเกาต์จึงไม่ควรกินเห็ดหอม
7. เมล็ดบัว
เป็นแหล่งโปรตีน แมกนีเซียม โพแทสเซียม และฟอสฟอรัส
รวมถึงเอนไซม์ชนิดหนึ่ง ชื่อว่า L-lsoaspartyl Methyltransferase
ซึ่งช่วยซ่อมแซมโปรตีนที่ถูกทำลาย
นักวิทยาศาสตร์จึงเชื่อกันว่าเมล็ดบัวเป็นอาหารที่ช่วยชะลอความแก่ชราได้ใน
ตำรับจีนเชื่อว่า
รสหวานโดยธรรมชาติของเมล็ดบัวจะช่วยบรรเทาอาการท้องร่วงและช่วยกล่อมเกลาจิต
ใจทำให้นอนหลับสบาย
ส่วนแกนของเมล็ดนั้นมีรสขมและมีฤทธิ์เย็นจึงดีต่อหัวใจโดยการช่วยขยายหลอด
เลือดและลดความดันโลหิต
อย่างไรก็ตามเนื่องด้วยมีสรรพคุณรักษาอาการท้องร่วงคนที่ท้องผูกจึงควรหลีก
เลี่ยงเมล็ดบัวโดยเด็ดขาด
8. โสม
หากพูดกันถึงสมุนไพรจีนคงขาดโสมไปไม่ได้โสมแดงของจีนนั้นถูกใช้ในทางการ
แพทย์มาหลายศตวรรษและในปัจจุบันก็ยังมีการใช้อย่างแพร่หลาย
ในสมัยโบราณเชื่อว่าโสมเป็นยาอายุวัฒนะส่งเสริมปัญญาและความแข็งแรง
แม้ว่ายังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมแต่การศึกษาจาก University of Maryland
ก็ชี้ว่าโสมสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้จริงช่วยลดคอเลสเตอรอลเลวและช่วยให้
กระปรี้กระเปร่า
อย่างไรก็ดีโสมไม่เหมาะกับคนที่เป็นความดันโลหิตสูงคนที่เป็นเบาหวาน
สตรีมีครรภ์ และหญิงสาวที่กำลังให้นมบุตร
9. รากชะเอม
นอกจากใช้ในตำรับจีนแล้วยังสาวต้นตอไปได้ถึงสมัยโรมันซึ่งมีการต้มรากชะเอม
เพื่อบรรเทาอาการไอ หอบ เจ็บคอ โรคปอดอื่น ๆ
และเชื่อว่ามันจะช่วยชะล้างภายในลำไส้ได้
นอกจากนี้ยังเหมาะกับผู้หญิงวัยทองเนื่องจากมันมีไฟโตเอสโตรเจนด้วย
อย่างไรก็ตามการกินรากชะเอมมาก ๆ
ก็อาจทำให้เป็นโรคความดันโลหิตสูงไม่ควรกินพร้อมกับยาขับปัสสาวะ
เช่นเดียวกับที่คนเป็นโรคเบาหวานกับโรคตับควรจะหลีกเลี่ยงรากชะเอมเหมือนกัน
10. เฉาก๊วย
ด้วยเหตุที่มันดำ แวววาว และเด้งดึ๋ง เป็นที่สุด
คนส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยนึกถึงเฉาก๊วยในแง่ของสมุนไพรหรืออาหารเพื่อสุขภาพ
เฉาก๊วยมีชื่อภาษาอังกฤษว่า Black Jelly หรือ Grass Jelly
ซึ่งตัวมันเองเป็นอาหารที่มีธาตุหยินหรือเป็นอาหารเย็นนั่นเอง
ทำให้เหมาะจะกินในหน้าร้อนและบรรเทาอาการปวดท้อง คลื่นเหียน อาหารไม่ย่อย
นอกจากนี้ยังมีใยอาหารชนิดละลายในน้ำ ซึ่งอาจจับเอาน้ำตาลและไขมันออกมาได้
มันจึงช่วยป้องกันเบาหวานและโรคหัวใจได้อีกทางหนึ่ง
(ตราบใดที่คุณไม่ใส่น้ำเชื่อมเยอะมากเกินไปละก็นะ)
ขอขอบคุณข้อมูลจาก lisa ขอขอบคุณรูปภาพจากอินเตอร์เน็ต