สมัยบุรพกาล
บรรพบุรุษของชาวจีนได้รู้จักกดนวดตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
เพื่อช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดหรืออาการไม่สบายต่าง ๆ ต่อมาในยุคหิน
พวกเขาก็รู้จักใช้เศษินมาทำเป็นเครื่องมือสำหรับกดนวดหรือแทงหรือกรีดระบาย
หนอง..
ในยุคหินใหม่เมื่อราว ๆ 4,000 กว่าปีก่อน
พวกเขาได้รู้จักเทคนิคฝนขัดหินได้อย่างช่ำชองและละเอียดปราณีตมากขึ้น
จนสามารถฝนเศษหินให้เล็กลงและแหลมคมขึ้น
ทำให้ประสิทธิภาพการรักษาโรคดีขึ้นด้วยในประเทศจีนมีการขุดค้นทาง โบราณคดีหลายแห่ง สามารถพบเครื่องหินที่ใช้สำหรับรักษาโรคอยู่เป็นจำนวนมากมาย มีลักษณะตรงกับคำจารึกในพงสาวดานโบราณที่เรียกว่า เปียนเสือ (Bian stone) ซึ่งหมายถึงเข็มที่ทำจากหิน
เข็ม
หินในยุคแรกนั้นไม่เพียงแต่ใช้ทิ่มแทงเท่านั้น
แต่ยังมีประโยชน์ใช้สำหรับกดนวดและกรีดระบายหนองอีกด้วย
รูปร่างของมันตึงมีทั้งเป็นวัตถุแหลม,
วัตถุแบนคมเหมือนมีดและวัตถุกลมเหมือนถ้วย เป็นต้น หินเหล่านี้ถือเป็น
“สมบัติล้ำค่า” อย่างหนึ่งเลยทีเดียว
นอก
จากหินแล้ว บรรพบุรุษขาวจีนในกลุ่มแม่น้ำฮวงโหยังรู้จักใช้วัสดุอื่น ๆ
มาประดิษฐ์เป็นเข็มอีกด้วย เช่น กิ่งไม้ กระดูก เครื่องเคลือบดินเผา
ตั้งแต่ในยุคราชวงศ์ชางเมื่อประมาณ 2,400 ปีก่อน
สังคมจีนได้พัฒนาเข้าสู่ยุคโลหะ
ชาวจีนโบราณได้เรียนรู้เทคนิคการหล่อหลอมโลหะจึงเริ่มปรากฏมีเข็มที่ทำมาจาก
โลหะชนิดต่าง ๆ อันได้แก่ เข็มสำริด เข็มเหล็ก เข็มทองคำ
และเข็มเงินเกิดขึ้นมาเป็นลำดับ
จากคัมภีร์อายุรเวทของกษัตริย์หวงตี้หรือ “หวงตี้เน่ยจิง”
ซึ่งมีอายุยาวนานราว 2,200 ปีนั้นได้ทำให้เราทราบว่า
ในยุคสงครามระหว่างแคว้นชาวจีนโบราณสามารถประดิษฐ์เข็มโลหะที่มีรูปร่างต่าง
ๆ ตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการใช้ได้ถึง 9 ชนิด ดังต่อไปนี้
ภาพวาดเข็มบราณทั้ง 3 ในสมัยราชวงศ์หมิง
2. เข็มปลายมน ใช้เป็นเครื่องมือสำหรับกดนวด
3. เข็มปลายทู่ ใช้สำหรับกดเส้นลมปราณ
4. เข็มปลายแหลมขอบเหลี่ยม ใช้แทงเพื่อเจาะระบายเลือด
5. เข็มกระบี่ ใช้สำหรับกรีดหนอง
6. เข็มปลายแหลมขอบมน ใช้สำหรับแทงรักษาอาการปวดที่อยู่ลึก
7. เข็มเส้นขน ใช้ปรับการไหลเวียนลมปราณรักษาอาการปวดต่าง ๆ
8. เข็มยาว ใช้ปักรักษาพยาธิสภาพที่อยู่ส่วนลึก ๆ ของร่างกาย
9. เข็มใหญ่ ใช้เจาะน้ำในข้อ
อย่าง ไรก็ตาม กระทั่งถึงทุกวันนี้ นักโบราณคดีของจีนก็ยังไม่สามารถขุดค้นพบเข็ม 9 ชนิดที่เป็นวัตถุโบราณจริง ๆ ได้เลย เข็มทองคำที่ขุดได้จากสุสานฝังศพเจ้าชายหลิวเซิ่งแห่งราชวงศ์ซีฮั่น ที่มณฑลเหอเป่ย เมื่อ ปี ค.ศ.1968 นั้น ก็มิได้มีรูปร่างตรงกับคำบรรยายในคัมภีร์หวงตี้เน่ยจิง
รูป
ร่างของเข็มโบราณทั้ง 9 จึงเป็นแต่รูปภาพที่แพทย์รุ่นต่อ ๆ
มาจินตนาการและวาดออกมาเท่านั้นเอง
ซึ่งมีอยู่หลายแบบตามแต่ละยุคสมัยของผู้วาด
ด้วยเหตุนี้ในปี ค.ศ.1986
สถาบันวิจัยการแพทย์แผนโบราณจีนพร้อมทั้งสถาบันวิจัยเอกสารประวัติศาสตร์
และโรงงานผลิตอุปกรณ์การแพทย์แห่งมณฑลซูโจว จึงได้ร่วมมือกันจำลองสร้างเข็ม
9 ชนิดขึ้นมาใหม่โดยอาศัยหลักฐานทางโบราณคดีต่าง ๆ มาประกอบ
ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะสืบทอดมรดกทางประวัติศาสตร์มิให้มีการสูญหายไป
เมื่อการแพทย์แผนตะวันตกได้เผยแพร่ไปทั่วไป
เข็มบางชนิดก็เสื่อมความนิยมลงและไม่ได้ใช้อีกต่อไป
เพราะมีอุปกรณ์อย่างอื่นที่ดีกว่ามาทดแทนเช่น
ใช้มีดผ่าตัดมากรีดระบายหนองแทนการใช้เข็มกรีดเจาะ เป็นต้น
ปัจจุบัน
นี้เข็มที่ยังนิยมใช้กันเป็นประจำได้แก่ เข็มเส้นขน เข็มฝังคา
ในผิวหนังหรือใต้ผิวหนัง เข็มดอกเหมยหรือเข็มเคาะผิวหนัง
และเข็มสามเหลี่ยมสำหรับเจาะปล่อยเลือด เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ยังมีการพัฒนาสร้างเข็มรูปแบบใหม่ ๆ ขึ้นมาอีกเรื่อย ๆ เช่น
เข็มที่ทำมาจากแม่เหล็ก เข็มเลาะผังพืด
หรือใช้แสงเลเซอร์มากระตุ้นจุดแทนการปักเข็มเป็นต้น
ซึ่งยังต้องการข้อมูลการศึกษาวิจัยอีกมาก เพื่อมายืนยันว่า
จะใช้ได้ผลในการรักษาจริงหรือไม่
เข็มที่นิยมใช้มากที่สุดคือ “เข็มเส้นขน (Filiform needle)”
ที่เรียกว่าเข็มเส้นขนนั้น
เนื่องจากมันมีลักษณะเป็นเส้นโลหะขนาดเล็กมาเหมือนกับ “เส้นขน” นั่นเอง
เมื่อปักลงไปตามร่างกาย
จะทำให้ผิวหนังและเนื้อเยื่อได้รับการบาดเจ็บน้อยมาก
สามารถปักได้ลึกและปักได้และทุกตำแหน่งทั่วร่างกาย
จึงมีประโยชน์ใช้รักษาโรคได้กว้างขวาง
แพทย์
ฝังเข็มทุกคนจะต้องรู้จักการใช้เข็มชนิดนี้
โดยทั่วไปแล้วถ้าไม่มีการระบุเป็นอย่างอื่น เมื่อกล่าวถึง “เข็ม”
ในทางเวชกรรมฝังเข็มแล้วก็จะหมายถึงเข็มชนิดนี้เป็นลำดับสำคัญเสมอ
รูป
ร่างของเข็มที่ใช้สำหรับฝังเข็มนั้นจะไม่ต่างไปจากเข็มฉีดยาทั่ว ๆ ไป
เข็มสำหรับฝังเข็มจะมีส่วนประกอบอยู่ 5 ส่วน คือ ปลายเข็ม ตัวเข็ม โคนเข็ม
ด้ามเข็มและหางเข็ม ตามลำดับ
ด้ามเข็มมักจะมีลวดเล็ก ๆ พันเป็นเกลียวอีกชั้นหนึ่ง
เพื่อช่วยให้จับได้สะดวกและกระชับนิ้วมือไม่ให้ลื่น
เข็มบางยี่ห้อที่ใช้แบบครั้งเดียวทิ้ง
อาจใช้พลาสติกหลอมเป็นด้ามเข็มแทนเพื่อประหยัดต้นทุนผลิต
โครงสร้างของเข็มเส้นขน
ส่วนปลายสุดของด้ามเข็ม ซึ่งเรียกว่า “หางเข็ม” นั้น มีประโยชน์สำหรับใช้ติดสมุนไพรรมยาประกอบการรักษา และเป็นเครื่องหมายช่วยบอกทิศทางการหมุนเข็มว่า หมุนทวนหรือตามเข็มนาฬิกาชนิดของโลหะที่เอามาใช้ทำเข็มนั้น ก็มีความสำคัญมากเช่นกัน ขึ้นกับว่าความก้าวหน้าทางด้านโลหะศาสตร์ในแต่ละยุคนั้นเป็นอย่างไร สังคมยุคนั้นมีความสามารถในการหล่อหลอมโลหะได้ดีแค่ไหน ในสมัยโบราณจึงปรากฏหลักฐานของเข็มที่ทำจากโลหะหลายชนิดด้วยกัน เช่น สำริด ทองแดง ทองคำ เงิน เหล็ก เป็นต้น
เข็มที่ทำจากเหล็กเมื่อใช้ไปนาน ๆ จะเกิดสนิม จึงเปราะหักได้ง่าย เข็มที่ทำด้วยทองคำมีข้อด้อย คือ เนื้อโลหะค่อนข้างอ่อนและมีราคาแพง ส่วนเข็มเงินนั้น เนื้อเข็มจะเกิดปฏิกิริยาเคมีกับออกซิเจนในอากาศ ทำให้เปลี่ยนเป็นสีดำได้ง่าย และโลหะเงินก็มีราคาแพงเช่นกัน
เข็มฝังเข็ม ที่ใช้กันในปัจจุบัน นิยมทำด้วยโลหะเหล็กกล้าสแตนแลส เพราะมีข้อดีหลายอย่าง คือ เนื้อโลหะแข็งพอเหมาะจึงมีความยืดหยุ่นและเหนียวไม่เปราะหักง่าย ไม่ขึ้นสนิม ไม่ทำปฏิกิริยาอันตรายหรือเป็นพิษต่อเนื้อเยื่อของร่างกาย ทนทานต่อสารเคมีและความร้อนได้ดี จึงสะดวกในการทำความสะอาด และราคาก็ไม่แพงจนเกินไป
ผู้ป่วยมักสงสัยว่า ในเข็มนั้นใส่ยาหรือสมุนไพรอะไรเอาไว้หรือไม่ ความจิรงแล้ว เข็มที่ใช้ฝังเข็มนั้นเป็นโลหะเนื้อตัน ไม่มีการใส่หรือชุบน้ำยาอะไรทั้งสิ้น ผลการรักษาโรคอยู่ที่การปักและวิธีการกระตุ้นเข็มเป็นสำคัญ
เมื่อเปรียบเทียบกับเข็มฉีดยา เข็มที่ใช้ฝังเข็มจะมีขนาดเล็กกว่ามาก ตัวอย่างเช่น เข็มฉีดยาสำหรับเด็กเล็กเบอร์ 25 มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.5 มิลลิเมตร เข็มฉีดยาสำหรับผู้หใญ่เบอร์ 23 มีเส้นผ่าศูนย์กลางเพียง 0.28 มิลลิเมตร เท่านั้นเอง ซึ่งเล้กกว่าเข็มฉีดยาเด็กถึงเกือบครึ่ง
ข้อแตกต่างระหว่างเข็มฉีดยาและเข็มที่ใช้สำหรับฝังเข็มที่สำคัญมากกว่าก็คือว่า
เข็มฉีดยามีลักษณะเป็นโลหะท่อกลวง
ปลายแหลมบากตัดคล้ายขวากไม้ไผ่ในหลุมดักสัตว์
ส่วนเข็มที่ใช้สำหรับฝังเข็มเป็นเส้นลวดเนื้อตัน
มีปลายแหลมมนหรือเปลี่ยมตัด เมื่อปักเข็มลงในเนื้อเยื่อ เข็มฉีดยาจะ “บาดตัด” ทำอันตรายต่อผิวหนังและเนื้อเยื่อมากกว่าเข็มสำหรับฝังเข็มที่จะเป็นลักษณะ “แทงแหวกผ่าน”
ผิวหนังและเนื้อเยื่อลงไป ดังนั้นเมื่อถอนเข็มฉีดยาขึ้นมา
ผิวหนังและเนื้อเยื่อจะถูกทำลายขาดรุ่งริ่งมากกว่า
ผู้ป่วยที่ถูกฉีดยาจึงรูสึกเจ็บมากกว่าการถูกฝังเข็มเสียอีก
เข็มฉีดยาจะทำลายเนื้อเยื่อของร่งกายมากกว่าเข็มฝังเข็ม
จาก ความรู้ทางการแพทย์ เราทราบแล้วว่า กลไกอย่างหนึ่งที่ทำให้การฝังเข็มสามารถรักษาโรคได้นั้นก็คือ เข็มสามารถกระตุ้นตัวรับสัญญาณประสาท (receptor) ทำให้เส้นประสาททำงาน กล้ามเนื้อที่หดเกร็งมีการคลายตัว และทำให้หลอดเลือดขนายตัว เพิ่มการไหลเวียนของเลือดได้ดีขึ้น ตัวรับสัญญาณประสาทเหล่านี้มักจะอยู่ใต้ผิวหนังชั้นลึก อุปกรณ์ที่จะสามารถกระตุ้นตัวรับสัญญาณประสาทนี้ได้ จะต้องสามารถสอดใส่หรือปักแทงให้ลึกไปในร่างกายได้โดยไม่เกิดอันตราย
การกดนวด การใช้คลื่นความถี่สูง เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าที่มีขั้วเป็นแบบแผ่นโลหะ การประคบร้อนประคบเย็น ไม่สามารถสร้างแรงกระตุ้นที่ลงไปในชั้นลึกได้เพียงพอสำหรับการรักษา
ส่วนเข็มฉีดยานั้นก็ไม่เหมาะสมที่จะใช้เพราะว่า หากปักลงไปลึก จะทำอันตรายต่อเนื้อเยื่ออวัยวะได้
เข็ม สำหรับการฝังเข็มที่มีลักษณะเป็นเส้นเล็ก ๆ และยาวเพียงพอจึงมีความเหมาะสมมากกว่าอุปกรณ์ชนิดอื่น ๆ ในการที่จะปักลงไปลึก ๆ เพื่อกระตุ้นตัวรับสัญญาณประสาทให้ได้
ในคัมภีร์อายุรเวทของกษัตริย์หวงตี้บันทึกเอาไว้ว่า เข็มเส้นขนมีปลายแหลมเล็กเท่า “ปากยุง” ซึ่งเป็นเบาะแสหลักฐานที่บ่งบอกให้เรารู้ว่าเมื่อ 2,000 กว่าปีก่อนนั้น อารยธรรมของชาวจีนโบราณต้องสูงมาก กระทั่งสามารถรีดหรือหล่อโลหะให้กลายเป็นเส้นลวดที่เล็กเท่า “ปากยุง” สำหรับปักลึกเข้าไปในร่างกายของคนเราได้ โดยไม่มีอันตรายร้ายแรงเกิดขึ้น
กฎเกณฑ์ธรรมชาติของร่างกายมนุษย์เราที่ว่า เมื่อทำการกระตุ้นตำแหน่งต่าง ๆ ของร่างกายสามารถจะบำบัดอาการไม่สบายหรือโรคนั้นได้ ความจริงแล้ว ชนชาติอื่น ๆ นอกจากชาวจีนก็รู้จักกฎเกณฑ์ข้อนี้เหมือนกัน ดังจะเห็นตัวอย่างว่าการนวด การใช้ไฟจี้ หรือการใช้วัตถุแหลมแทงเพื่อกระตุ้นร่างกายนั้น ก็พบได้ในแถบทุกชนชาติ
แต่ภูมิปัญญาของประชาชาติจีนโบราณอยู่ที่ว่า
ประการที่ 1 ชาว จีนได้ค้นพบวิธีการกระตุ้น ส่วนลึกของร่างกายโดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายและพัฒนาความรู้เป็นทฤษฎีที่สอด คล้องกับกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติที่เป็นจริงออกมาได้
ประการที่ 2 มีระดับเทคโนโลยีการผลิตที่สูงเพียงพอจนสามารถสร้างอุปกรณ์มาใช้กระตุ้นร่างกายตามวิธีการดังกล่าวได้
เมื่อเพียบพร้อมด้วยเงื่อนไขทั้ง 2 ประการดังกล่าวข้างต้น ชาวจีนโบราณจึงสามารถประดิษฐ์เข็มชนิดต่าง ๆ ออกมาได้
และนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้จีนเป็นชนชาติแรกที่ทำให้กำเนอศาสตร์เวชกรรมฝังเข็มขึ้นมาได้ในโลกนั่นเอง
No comments:
Post a Comment