ในสมัยก่อน ชาวจีน อาศัยวิชาการแพทย์แผนโบราณเป็นระบบการแพทย์หลักของสังคม
วิธีการรักษาโรคที่เป็นหลัก ได้แก่ การฝังเข็มและการใช้ยาสมุนไพร
ใน
คัมภีร์หวงตี้เน่ยจริงที่เก่าแก่ เมื่อ 2,000 กว่าปีก่อน
มีการกล่าวบรรยายึถงโรคชนิดต่าง ๆ 100 กว่าโรค แต่ระบุให้ใช้ยารักษาเพียง
13 โรคเท่านั้นที่เหลือทั้งหมดนั้นแนะนำให้ใช้การฝังเข็มรักษาทั้งสิ้น
จะเห็นได้ว่า
การฝังเข็มมีประโยชน์ในการรักษากว้างมากกว่าการใช้ยาสมุนไพรเสียอีก
ดัง
นั้น ตามแนวการวิเคราะห์โรคของการแพทย์แผนโบราณจีน คำถามที่ว่า
"การฝังเข็มรักษาโรคอะไรได้บ้าง
"จึงไม่ใช่เป็นประเด็นที่ต้องถามเพราะโรคทุกอย่างต้องใช้การฝังเข็มรักษา
ทั้งสิ้น ยกเว้นแต่มีข้อห้ามเท่านั้น
ในตำราการแพทย์แผนโบราณของจีน
ได้บันทึกวิธีการฝังเข็มรักษาโรคต่าง ๆ
เอาไว้เป็นจำนวนมากครอบคลุมทุกแขนงของโรค ไม่ว่าจะเป็นอายุรกรรม ศัลยกรรม
สูตินารีเวช กุมารเวช และโรคหูตาคอจมูก เป็นต้น
สามารถใช้รักษาโรคได้ทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่ทารกจนถึงคนชรา
สตรีตั้งครรภ์หรือไม่ตั้งครรภ์ โรคฉุกเฉินเฉียบพลันหรือโรคเรื้อรัง
ก็สามารถฝังเข็มรักษาได้ทั้งสิ้น ต่อมาภายหลัง
เมื่ออารยธรรมตะวันตกได้แผ่ขนายเข้าสู่ประเทศจีน
ระบบการแพทย์แผนตะวันตกก็ได้รับความนิยมมากขึ้น
จนกลายเป็นระบบการแพทย์หลักของประเทศอย่างเต็มตัว
เมื่อจีน
เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบคักดินาของราชวงศ์แมนจูมาเป็นระบอบสาธารณรัฐ
วิธีการรักษาโรคต่าง ๆ จึงกลายมาเป็นแบบแผนปัจจุบัน ส่วนการฝังเข็มก็ค่อย ๆ
เสื่อมความนิยมลงไป
จนกระทั่ง
หลังจากมีการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี ค.ศ. 1949
การฝังเข็มจึงได้รับการฟื้นฟู เพื่อเอามาใช้รักษาโรคใหม่อีกครั้งหนึ่ง
คำถามจึงเกิดขึ้นว่า "การฝังเข็มยังสามารถเอามาใช้รักษาโรคได้ ผลเหมือนกับวิธีการรักษาตามการแพทญ์แผนตะวันตกหรือไม่ ? "
คน
ทั่วไปมักจะเข้าใจกันว่า
การฝังเข็มเป็นวิธีการบำบัดความเจ็บปวดอย่างหนึ่งเท่านั้น
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าในช่วงทศวรรษปี 1970 ที่จีน
ได้เปิดประเทศติดต่อกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก นั้น
ข่าวสารเกี่ยวกับการฝังเข็มที่ทำให้ชาวโลกรู้สึกตื่นเต้นมากที่สุดก็คือ
การฝังเข็มระงับความเจ็บปวดให้แก่ผู้ป่วยที่ถูกผ่าตัดโดยไม่ต้องใช้ยาชาหรือ
ยาสลบ นอกจากนี้
กาค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับการฝังเข็มของประเทศทางตะวันตกในระยะแรก ๆ
ก็มุ่งไปยังเรื่อง "การระงับความเจ็บปวด" เป็นเสียส่วนมาก
ความ
จริงแล้ว เมื่อจีนได้เริ่มพัฒนาวิชาฝังเข็มโบราณขึ้นมาใหม่นั้น ตั้งแต่ในปี
ค.ศ. 1950 เป็นต้นมา
ก็ได้มีการค้นคว้าทดลองฝังเข็มรักษาอาการผิดปกติและโรคต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก
โดยมิได้จำกัดอยู่แต่เฉพาะเรื่องการฝังเข็มระงับความเจ็บปวดเท่านั้น
แต่อย่างไรเลย
จากการรวบรวมข้อมูลที่ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ โจวตี้เซียง
พบว่า นับตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1959 ถึง ค.ศ. 1985
ในประเทศจีนมีการวิจัยทดลองฝังเข็มรักษาโรคต่าง ๆ นับเป็นจำนวนมากถึง 1,116
โรค เมื่อจัดเป็นหมวดหมู่แล้วพบว่า
การฝังเข็มสามารถใช้รักษาโรคที่พบได้บ่อยประมาณ 158 ชนิด
ถ้า
อิงตามมาตรฐานหลักสูตรแพทยศาสตร์บัณฑิตของประเทศจีน ในปัจจุบันแล้ว
ในตำราวิชา "ฝังเข็มรมยา"
ที่เป็นตำรามาตรฐานสำหรับมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนโบราณทั่วทั้งประเทศฉบับ
พิมพ์ ปี ค.ศ. 1995 ระบุรายชื่ออาการและโรคต่าง ๆ
ที่สามารถใช้ฝังเข็มรักษาได้ 6 หมวด อันได้แก่ โรคทางอายุรกรรม ศัลยกรรม
สูตินารีเวช กุมารเวช หูตาคอจมูก และภาวะฉุกเฉิน รวมจำนวนทั้งสิ้น 75 โรค
(รายละเอียดตารางที่ 1)
แน่นอน รายชื่อโรคและอาการจำนวน 75
อย่างนี้
คงถือเป็นเพียงเกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำสำหรับนักศึกษาแพทย์เท่านั้นเอง
หากกล่าวในเชิงงานค้นคว้าวิจัยแล้ว
จำนวนโรคที่มีการทดลองฝังเข็มรักษาได้ผลนั้นมีมากเกินกว่านี้อีกมากทีเดียว
เฉิน
ฮั่นผิง แพทย์ฝังเข็มอาวุโสที่มีชื่อเสียงคนหนนึ่งของจีนในขณะนี้
และคณะผู้ร่วมงานประจำสถาบันวิจัยการฝังเข็มรมยาและเส้นลมปราณแห่งกรุง
เซี่ยงไฮ้ ได้รวบรวมงานวิจัยเกี่ยวกับเวชกรรมฝังเข็มของจีนจำนวน 1,550 ชิ้น
ตีพิมพ์เป็นนหังสืรายงานสรุปความก้าวหน้าของการค้นคว้าเกี่ยวกับการฝังเข็ม
รักษาโรคต่าง ๆ ของจีนใระหว่างปี ค.ศ. 1991-1995 ออกมา
ช่วยทำให้เรามองเห็นขอบเขตการรักษาโรคด้วยการฝังเข็มที่สำคัญของจีนในยุค
ปัจจุบันนี้ได้ชัดเจนใรระดับหนึ่งว่า การฝังเข็มใช้รักษาโรคอะไรได้บ้าง
(รายละเอียด ตารางที่ 2)
นอกจากนี้แล้ว บรรดาประเทศต่าง ๆ
ทั่วโลกก็ได้นำเอาการฝังเข็มไปทดลองรักษาโรคต่าง ๆ เป็นจำนวนมากเช่นกัน
เพื่อพิสูจน์ว่าการฝังเข็มมีประโยชน์ในการรักษาโรคตามคำอ้างของจีนจริงหรือ
ไม่
ศูนย์ฝังเข็มกรุงวอชิงตัน (Washington
Acupuncture Center) แห่งสหรัฐอเมริกา
ได้รวบรวมผลการทดลองฝังเข็มรักษาความผิดปกติต่าง ๆ 21 โรคในผู้ป่วยจำนวน
11,982 ราย ในช่วงตั้งแต่เดือนเมษายน ปี ค.ศ. 1976 รวมเป็นเวลา 3 ปี
ซึ่งแม้ว่าข้อมูลการศึกษาครั้งนี้จะไม่สมบูรณ์ตามวิธีการวิจัยทางวิทยา
ศาสตร์ แต่ก็เป็นข้อมูลที่มีขนาดใหญ่มากที่พอจะทำให้เห็นว่า
การฝังเข็มนั้นสามารถรักษาโรคต่าง ๆ ได้ผลดี อย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว
(รายละเอียด ตารางที่ 3)
ในปี ค.ศ 1979 องค์อนามัยโลกแห่งสหประชาชาติ หรือ
WHO (World Health Organization)
ได้ตั้งคณะกรรมการศึกษาประโยชน์ของการฝังเข็มในการรักษาโรคต่าง ๆ ว่า
มีความเป็นไปได้อย่างไรบ้าง จากการพิจารณข้อมูลทางคลินิก
องค์การอนามัยโลกจึงได้ประกาศรายชื่ออาการหรือโรคต่าง ๆ
ที่สามารถฝังเข็มรักษาได้ผลจำนวน 40 โรค (รายละเอียดตารางที่ 4)
เป็นการแสดงให้เห็นว่า ถึงแม้การฝังเข็มจะมีกำเนิดจากการแพทย์แผนโบราณก็ตาม
แต่ก็สามารถใช้รักษาโรคต่าง ๆ ได้ผลจริง
แต่ว่า
การที่ผู้ป่วยคนหนึ่ง ๆ หายจากโรคได้นั้น
อาจเป็นเพราะว่าดรคนั้นสามารถทุเลาหายไปได้เองหรือมัอาจเป็นผลจากการรักษาก็
ได้ และเหตุที่ทำให้วิธีการนั้นสามารถรักษาโรคให้หายได้ ยังอาจมีปัจจัยอื่น
ๆ มาประกอบร่วมด้วย การประเมินผลการรักษาของวิธีการรักษาหนึ่ง ๆ
จึงต้องมีกระบวนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้องมาตัดสิน
การวิจัยเพื่อประเมินผลการรักษาที่เป็นที่ยอมรับกันมากที่สุดในวงการวิทยาศาสตร์การแพทย์นั้นก็คือ "การทดลองที่มีกลุ่มเปรียบเทียบ"
หรือที่เรียกว่า controlled study ซึ่งมีการเปรียบเทียบว่า
เมื่อใช้วิธีการรักษาอย่างหนึ่งรักษาผู้ป่วยกลุ่มหนึ่ง
ผลการรักษาที่ออกมาจะดีกว่ากลุ่มผู้ป่วยที่ไม่ได้ใช้วิธีการนั้นหรือไม่
ถ้าผลการรักษาปรากฏออกมาว่า มีความแตกต่างกัน
ก็แสดงว่าวิธีการรักษาดรคนั้นได้ผลรักษาจริง ถือว่า "น่าเชื่อถือ"
การวิจัยแบบนี้มีขั้นตอนการทำวิจัยที่ยุ่งยาก ซับซ้อนพอสมควร
มักต้องอาศัยทุนการวิจัยและใช้เวลาค่อนข้างมาก
มิใช่เป็นเรื่องที่จะทำกันได้ง่าย ๆ
การทดลองที่มีกลุ่มเปรียบเทียบนี้ อาจแบ่งย่อยออกเป็นอีก 2 แบบ คือ แบบที่มีการคัดเลือกตัวอย่างทดลอง โดยสุ่มเลือกอย่างไม่มีการเจาะจง (randomized sampling) ซึ่งถือว่าเป็นวิธีการวิจัยที่น่าเชื่อถือมากที่สุด ส่วนอีกแบบหนึ่งนั้น การคัดเลือกตัวอย่าง ไม่ได้ทำแบบสุ่มเลือก (non-randomized sampling) ซึ่งผลความน่าเชื่อถือจะเป็นรองกว่าแบบแรก
No comments:
Post a Comment